เมนูนำทาง
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี พระประวัติพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีประสูติเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2435[3] เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กับหม่อมอินทร์ วรวรรณ ณ อยุธยา มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าวรรณวิมล วรวรรณ และมีพระนามเรียกกันในหมู่พระญาติว่า ท่านหญิงเตอะ หรือ ท่านหญิงขาว
พระองค์ได้รับการศึกษาและมีวิถีชีวิตเยี่ยงสตรีสมัยใหม่ ทรงมีความคิดอ่านอิสระเสรี ซึ่งพระบิดา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นผู้ที่มีความสามารถ มีความรู้และความคิดที่กว้างไกลทันสมัย แม้กระทั่งการอบรมเลี้ยงดูพระโอรส-ธิดา ก็ทรงให้ได้รับการศึกษาสมัยใหม่ ไม่เข้มงวดดังการประพฤติปฏิบัติอย่างกุลสตรีโบราณ[4] ทำให้เหล่าพระธิดาในกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์มีความคิดเห็นกว้างขวาง และกล้าที่จะแสดงออกในวัตรปฏิบัติผิดแผกแตกต่างไปสตรีส่วนใหญ่ในสมัยนั้นที่อยู่ในกรอบของม่านประเพณีโบราณ[5]
หม่อมเจ้าวรรณวิมล ทรงเปิดพระองค์อยู่ในสังคมชั้นสูงที่มีกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสังคมและความบันเทิง ทำให้หลายคนต่างมองเห็นภาพความสนุกสดใสของบรรดาพระธิดาในกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ได้ไม่ยากนัก ซึ่งในเรื่องนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ทรงเล่าไว้ใน เกิดวังปารุสก์ ตอนหนึ่งว่า "... ไม่มีผู้หญิงคนไทยครอบครัวใดที่จะช่างคุยสนุกสนานเท่าองค์หญิงตระกูลวรวรรณ เท่าที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักพบมา..."[5]
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะนั้นมีพระชนมพรรษา 40 พรรษา นับตั้งแต่ทรงเถลิงถวัลย์ราชสมบัติตั้งแต่พระชนมพรรษา 31 พรรษา ก็ยังมิได้ภิเษกสมรสหรือมีฝ่ายในดังพระมหากษัตริย์องค์ก่อน ๆ พระองค์ประทับกับข้าราชบริพารชายล้วน และมิใคร่มีโอกาสพบปะกับสตรี และบ้างก็ทรงพบแต่ก็ยังมิต้องพระทัย[6]
หม่อมเจ้าหญิงวรรณวิมล ทรงเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรกที่ห้องทรงไพ่บริดจ์ในงานประกวดภาพเขียน ณ โรงละครวังพญาไท ซึ่งนับเป็นงานชุมนุมของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งผู้ใหญ่และหนุ่มสาว[6] ในงานนี้บรรดาท่านหญิงทั้งหลายของราชสกุลวรวรรณจึงเสด็จมาในงานนี้ด้วยหลายองค์ ซึ่งในเรื่องนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ทรงเล่าเกี่ยวกับการพบกันครั้งแรกของทั้งสองพระองค์ในหนังสือ เกิดวังปารุสก์ ความตอนหนึ่งว่า[6]
"...ข้าพเจ้าดูรูปในที่ต่าง ๆ คุยกับคนต่าง ๆ แต่มักจะไปนั่งบนพื้นคุยกับทูลหม่อมลุงเสมอบ่อย ๆ ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าทูลว่า 'ทูลหม่อมลุงครับ ที่ห้องทางโน้นเขาเล่นไพ่บริดจ์กัน' ท่านทรงตอบว่า 'อย่างงั้นหรือ ลุงต้องไปดู บางทีจะไปเล่นกับเขาบ้าง' เมื่อท่านเสด็จไปเล่นจริง ๆ ก็เลยไปพบท่านหญิงขาว..."
ในการพบกันครั้งนั้นทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวถูกพระราชหฤทัยในรูปโฉมและคุณสมบัติเฉพาะของหม่อมเจ้าวรรณวิมล ยิ่งได้มีโอกาสสนทนากันก็พบว่ามีรสนิยมต้องกัน กล่าวคือมีรสนิยมในงานศิลปะประเภทวรรณกรรมและการแสดง ทั้งยังทรงมีไหวพริบ คารมคมคาย และความคิดอ่าน[7] ทำให้การสนทนามีรสชาติเป็นที่พอพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง[6]
ในวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2463 หลังจากที่ทรงพบปะกับหม่อมเจ้าวรรณวิมลเพียงไม่กี่วัน[7] พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ให้พระธิดาทั้งหลายของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ดังนี้
ภายหลังจึงสถาปนาหม่อมเจ้าวัลลภาเทวี ขึ้นเป็น พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี[8] พระคู่หมั้น เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2463 พร้อมพระราชทานตราปฐมจุลจอมเกล้า และมีพระบรมราชโองการ ขณะที่ได้รับสถาปนาเป็นพระคู่หมั้นนั้น พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมีพระชันษา 28 ปี ส่วนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระชนมพรรษา 40 พรรษา และการสถาปนานี้ก็เพื่อจะได้สมพระเกียรติยศสำหรับจะได้กระทำพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในภายหน้า[7]
ในช่วงของการหมั้นนั้น นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของทั้งสองพระองค์ เพราะมีพระทัยจดจ่อกันอยู่ตลอดเวลา โดยโปรดให้พระวรกัญญาปทานเสด็จมาประทับ ณ พระตำหนักสวนจิตรลดา ในขณะที่พระองค์เองทรงประทับอยู่ที่วังพญาไท ซึ่งอยู่ใกล้กัน โปรดเสด็จเสวยของว่างและโทรศัพท์คุยหากันเสมอ ๆ[7] เรื่องนี้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ตรัสเล่าความว่า[7]
"...ทูลหม่อมลุงเสด็จเสวยของว่างที่นั่นทุกวัน ข้าพเจ้าก็ไปเฝ้าท่านที่นั่น บางเวลาเมื่อข้าพเจ้านั่งเฝ้าท่านอยู่ที่วังพญาไทเวลาทรงพระอักษร ทูลหม่อมลุงก็ทรงคุยกับคู่หมั้นของท่านโดยโทรศัพท์สังเกตว่าโปรดมาก"
ในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ก็ต่างตื่นเต้นและยินดีกับพระคู่หมั้นทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เจ้าฟ้าด้วยกัน จึงได้มีการจัดเลี้ยงฉลองหมั้นที่เรียกว่า "สัปเปอร์เจ้าฟ้า" ซึ่งมีเพียงแต่เจ้าฟ้าเท่านั้นที่ประทับโต๊ะสัปเปอร์[7] แม้แต่ข้าราชการคนสนิทของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่าง พระยาประสิทธิศุภการ และพระยาอนิรุทธเทวาก็ยังไม่มีโอกาสร่วมโต๊ะ[7] นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงคัดเลือกสตรีจากตระกูลชนชั้นสูงเพื่อมาเป็นนางพระกำนัลตามเสด็จพระคู่หมั้นด้วยพระองค์เอง อาทิ ศรี ไกรฤกษ์ และเปรื่อง สุจริตกุล[9]
ระหว่างห้วงเวลาหลังการหมั้นหมายนั้นทรงพระราชนิพนธ์บทละครคำกลอน เรื่อง ศกุนตลา ซึ่งในหน้าแรกของพระราชนิพนธ์นั้น มีคำอุทิศว่า[10]
นาฏกะกลอนนี้ฉันมีจิต | ขออุทิศแด่มิ่งมารศรี | |
ผู้เป็นยอดเสน่หาจอมนารี | วัลลภาเทวีคู่ชีวัน |
ขอหล่อนจงรับไมตรีสมาน | เป็นพยานความรักสมัครมั่น | |
เหมือนแหวนแทนรักทุษยันต์ | แก่จอมขวัญศกุนตลาไซร้ |
แต่ผิดกันตัวฉันไม่ลืมหล่อน | จนสาครเหือดแห้งไม่แรงไหล | |
จนตะวันเดือนดับลับโลกไป | จะรักจอดยอดใจจนวันตาย |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ทรงออกงานสังคมร่วมกันอยู่เสมอ ๆ ดังปรากฏเช่น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเล่าถึงงานใหญ่งานหนึ่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพร้อมด้วยพระวรกัญญาปทาน คืองานทำบุญพระชนมายุครบ 5 รอบ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ที่วังบูรพาภิรมย์ ดังความตอนหนึ่งว่า[10]
"...งานทำบุญแซยิดทูลหม่อมปู่น้อยวังบูรพา เป็นงานใหญ่ครั้งแรกที่ทูลหม่อมลุงเสด็จกับพระองค์วัลลภาเทวี ทูลหม่อมลุงทรงทำแบบฝรั่งทุกประการ เช่นเวลาเสด็จขึ้นก็ทรงเอาฉลองพระองค์คลุม คลุมประทานพระองค์วัลลภาฯ"
พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ทรงร่วมแสดงละคร และงานพระราชพิธี ร่วมกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งร่วมแสดงละครเรื่องศกุนตลา และ โพงพาง [11] บางครั้งก็ปรากฏพระองค์ในพื้นที่สาธารณะด้วยกันเสมอ โดยปราศจากข้าราชบริพารชายจนเป็นที่พูดถึง[12]
ด้วยความที่พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ทรงมีความคิดที่ล้ำสมัยสตรีไทยในยุคนั้น ทรงเขียนบทความชื่อ "ดำริหญิง" ในหนังสือดุสิตสมิธรายสัปดาห์เมื่อ พ.ศ. 2463 ในทำนองส่งเสริมให้สตรีมีความเท่าเทียมกับบุรุษ เพราะสตรีก็มีความสามารถ และจะอุ้มชูหรือชักบุรุษให้ต่ำลงก็ทำได้ แต่ก็มีพระประสงค์ให้บุรุษเข้าใจและเคารพสถานภาพของสตรี รู้จักหน้าที่ของบุรุษตามแบบสากล และขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้สตรีรู้จักทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง ความว่า[13]
"...หญิงโดยมากมักบูชาว่าชายเป็นมนุษย์ที่วิเศษกว่าตัวเทือกเทวดา ทั้งนี้ก็เพราะในบ้านโดยมากชายเป็นเจ้าบ้านมีอำนาจบังคับบัญชากดขี่หญิง การที่ชายได้อำนาจไปมากเช่นนั้น ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า คิดว่าคงเป็นเพราะหญิงมิได้ถือหน้าที่ที่ตนควรประพฤติ..."
แม้ในเนื้อความจะเป็นความจริงก็ตาม แต่ในขณะนั้นก็ยังไม่มีสตรีคนใดที่สามารถตีแผ่ความจริงได้อย่างห้าวหาญแจ่มชัดอย่างที่พระองค์ได้พระนิพนธ์ไว้ในบทความตอนหนึ่ง ความว่า[5]
"...ความเข้าใจของข้าพเจ้าคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีความบกพร่องอยู่ในตัวอย่างที่ไม่รู้จักกันพอ เช่นหญิงชายแรกคบกันคงจะต้องสรรท่าที่ตัวคิดว่าดีออกอวดกัน ต่างคนก็บูชากันว่าเป็นผู้วิเศษในขณะนั้น ความพอใจย่อมมีต่อกันมาก ก็อาจให้สัญญาต่อกันทุกอย่างในความต้องการของฝ่ายใด ครั้นเมื่อคุ้นกันเข้า ความบกพร่องซึ่งเป็นของธรรมดาตามมากน้อยก็ต้องเกิดความรู้กันขึ้นทั้งสองฝ่าย ความนับถือซึ่งกันก็ย่อมซาไป..."
นอกจากนี้ในบทความของพระองค์ที่ทรงนิพนธ์ขึ้น แสดงให้เห็นถึงความมั่นพระทัยในบทบาทและความสามารถของสตรีในการผลักดันบุรุษให้ทำกิจการต่าง ๆ ความว่า[5]
"...ข้าพเจ้าเห็นว่ามือเบา ๆ ของหญิงนี่แหละ อาจลูบหลังชายให้ออกไปต้านศึกได้ง่าย ๆ ยิ่งกว่าจะใช้ปืนจ้องให้ต้องกลับหลังหันไป"
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระองค์ที่กล่าวขานเชิงนินทาในเรื่องเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระวรกัญญาปทานอย่างหนึ่ง คือการปฏิบัติพระองค์ต่อข้าราชบริพารซึ่งเคยรับใช้สนองพระเดชพระคุณใกล้ชิดก่อนจะทรงหมั้น[14] เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งเมื่อพระวรกัญญาปทานเสด็จมาถึงพระราชวังพญาไท มหาดเล็กเดิมคนหนึ่งได้เข้าไปเพื่อจะรับพระหัตถ์ตามธรรมเนียมตะวันตก แต่พระองค์ไม่ทรงยินยอม[14] ครั้นเมื่อเรื่องไปถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กลายเป็นว่าทรงสะบัดมือ และแสดงพระกิริยาดูถูกมหาดเล็กเดิมคนนั้น ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้ว และอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการถอดถอนหมั้น[14] ซึ่งในเรื่องนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงระบายความทุกข์ในพระทัยด้วยรูปแบบพระราชหัตถเลขาถึงหม่อมเจ้าลักษมีลาวัณ วรวรรณ พระน้องนางเธอของพระวรกัญญาปทาน[15]
อนึ่งพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี เป็นเจ้านายที่ทรงริเริ่มการสวมเครื่องประดับคาดที่ศีรษะเป็นพระองค์แรก จนกลายเป็นที่นิยมของสุภาพสตรีช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว[16][17]
อย่างไรก็ตาม บทความ ดำริหญิง ดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก กับทั้งยังมีพระวิสัยถือพระองค์จากเหตุการณ์สะบัดมือนั้น เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ และประพันธ์กลอนเชิงบริภาษว่า[18]
อย่าทะนงอวดองค์ว่างามเลิศ | สวยประเสริฐยากที่จะเปรียบได้ | |
อย่าทะนงอวดองค์ว่าวิไล | อันสุรางค์นางในยังมากมี |
อย่าทะนงอวดองค์ว่าทรงศักดิ์ | จะใฝ่รักแต่องค์พระทรงศรี | |
นั่งรถยนต์โอ่อ่าวางท่าที | เป็นผู้ดีแต่ใจไพล่เป็นกา |
อย่าดูถูกลูกผู้ชายที่เจียมตน | อย่าดูถูกฝูงชนที่ต่ำกว่า | |
อย่าทะนงอวดองค์ว่าโสภา | อันชายใดฤๅจะกล้ามาง้องอน |
ครั้นแล้วจึงมีพระบรมราชโองการให้ถอนหมั้น เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2464 และโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี[2] ความตอนหนึ่งว่า
"...มีความเสียพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาทรงทราบตระหนักแน่ชัดขึ้นว่า การจะไม่เป็นไปโดยเรียบร้อย สมพระราชประสงค์อันดีที่กล่าวมาแล้ว เพราะเหตุที่พระราชอัธยาศัยของพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมิได้ต้องกัน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะพระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมีพระโรคประจำพระองค์อันเป็นไปในทางพระเส้นประสาทไม่ปรกติ ทรงพระราชดำริว่า ถ้าแม้จะคงให้การดำเนินต่อไปจนถึงกระทำการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ก็อาจจะมีผลอันไม่พึงปรารถนา..."
และแล้วก็มีพระบรมราชโองการให้ท้าวนางจ่าโขลนนำโซ่ตรวนทองคำไปจับกุมพระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมายังพระบรมมหาราชวัง แต่ด้วยทรงพระทิฐิมานะ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีจึงไม่ทรงทูลขอพระราชทานอภัย กับทั้งยังส่งหนังสือ "ศกุนตลา" ที่พระราชทานกลับพร้อมขีดเส้นใต้กลอนบทเหล่านี้[19]
ทรงภพผู้ปิ่นโปรดฦๅสาย | ||
พระองค์เองสิไม่มียางอาย | พูดง่ายย้อนยอกกรอกคำ |
มาหลอกลวงชมเล่นเสียเปล่าเปล่า | ทิ้งให้คอยสร้อยเศร้าทุกเช้าค่ำ | |
เด็ดดอกไม้มาดมชมจนช้ำ | ไม่ต้องจดจำนำพา |
เหมือนผู้ร้ายย่องเบาเข้าลักทรัพย์ | กลัวเขาจับวิ่งปร๋อไม่รอหน้า | |
จงทรงพระเจริญเถิดราชา | ข้าขอลาแต่บัดนี้ |
ด้วยเหตุนี้ จึงทรงถูกจำขังลงโซ่ตรวนทองคำอยู่ในพระบรมมหาราชวังนับแต่นั้นจนตลอดทั้งรัชกาล[19]
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลต่อมา จึงมีพระบรมราชโองการให้ปลดปล่อยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีออกจากพระบรมมหาราชวัง และพระราชทานวังที่ประทับให้อยู่บริเวณสี่แยกพิชัย ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระบิดา ประทานชื่อว่า พระกรุณานิวาสน์ ขณะทรงได้รับการปล่อยออกมานั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี มีพระชันษา 33 ปี ทรงประทับอยู่ที่วังพระกรุณานิวาสน์ และสนพระทัยในพระพุทธศาสนาตลอดมา
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีเข้าประทับรักษาพระองค์ในโรงพยาบาลศิริราชด้วยโรคพระวักกะพิการเป็นเวลา 60 วัน โดยพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการสงบในเวลา 06.07 น. ของวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2494 สิริพระชันษา 58 ปี 5 เดือน[20] และทรงได้รับพระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดเบญจมบพิตร เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495[21][22][23]
หลังสิ้นพระชนม์พระกรุณานิวาสน์ได้ตกเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ครั้นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงรับสภาสตรีแห่งชาติไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์จึงถูกเช่าสำหรับเป็นสำนักงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ถึง พ.ศ. 2518 ปัจจุบันบ้านพระกรุณานิวาสน์หลังเดิมถูกรื้อเพื่อสร้างอาคารหลังใหม่สำหรับจัดกิจกรรมและกิจการอื่น ๆ ในการหารายได้เข้าสภาสตรีแห่งชาติ[24]
เมนูนำทาง
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี พระประวัติใกล้เคียง
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีแหล่งที่มา
WikiPedia: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี http://www.baanmaha.com/community/27090/225335-pos... http://www.krutujao.com/data/015.tiger.htm http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp... http://www.thaithai.thmy.com/index4.html http://www.kingvajiravudh.org/main/index.php/2009-... http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JOH/article/v... http://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2016... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2463/A/... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2463/A/... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2463/A/...